หน้าร้อนไปเที่ยวไหนดี กับ 10 สถานที่เที่ยว
สุดชิลใกล้กรุงเทพฯ
ตลาดน้ำ 4 ภาค พัทยา
ตลาดน้ำ 4 ภาค พัทยา ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ทางศิลปวัฒนธรรมไทยกลางใจเมืองพัทยา ซึ่งจำลองวิถีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไทยที่เรียบง่าย ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ นอกจากจะเดินเที่ยวชมสถานที่แล้วนักท่องเที่ยวยังสามารถนั่งเรือพายชม ทัศนียภาพของ 2 ฝั่งน้ำ เพื่อสัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวบ้านอีกด้วย สำหรับใครที่ชอบถ่ายรูป ที่นี่มีเรือนไทยไม้สักงาม ๆ จากภาคต่าง ๆ ไว้ให้เก็บภาพความประทับใจกัน และชาวบ้านยังนำอาหาร และผลิตภัณฑ์ชุมชนมาจำหน่ายในราคามิตรภาพในร่วมชิมร่วมช้อปกันอย่างจุใจ สำหรับสินค้าทั้ง 4 ภาคนี้ จะแตกต่างกันไปตามวิถีชีวิตของแต่ละภาค โดยภาคเหนือจะเป็นสินค้าไม้แกะสลัก เครื่องเงิน ผ้าพื้นเมือง ผ้าไหม และร่มกระดาษ ส่วนสินค้าภาคกลาง จะเป็นเฟอร์นิเจอร์หวาย เครื่องประดับ และกระเป๋าสาน ภาคอีสานมีสินค้าเด่น คือ ผ้าไหมหมัดหมี่ ผ้าไหมแพรวา เทียนหอม หมอนอิง ปิดท้ายด้วยสินค้าภาคใต้ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว ผ้าบาติก เรือไม้จำลอง เป็นต้น
รฤก หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
รฤก หัวหิน เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีบ้านไม้เก่าที่สร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ตั้งอยู่กลางพื้นที่ ด้วยความที่เจ้าของบ้านซึ่งเป็นคนหัวหิน อยากอนุรักษ์บ้านไม้เก่าไว้จึงทำการปรับปรุงซ่อมแซมและต่อเติมบ้านไม้หลัง นี้ใหม่ ก่อนทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยวโดยมีการจัดแสดงภาพของหัวหินสมัยเก่าที่หาดูได้ ยากให้นักท่องเที่ยงได้ชมวิถีชีวิตของคนหัวหินในสมัยก่อน นอกจากนี้ รฤก หัวหิน ยังเป็นแหล่งรวมร้านค้า ร้านอาหาร เครื่องดื่มที่ทั้งอร่อย สะอาด ราคาย่อมเยา มีการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยร่วมสมัย รวมถึงการแสดงดนตรีสดอีกด้วย
พิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหิน ช้างดึกดำบรรพ์ และไดโนเสาร์แห่งนี้ ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมโบราณวัตถุแห่งแรกของประเทศไทย และเป็นหนึ่งใน 7 แห่งของโลก ภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงพรรณไม้ดึกดำบรรพ์ขนาดใหญ่ อายุประมาณ 800,000-320,000,000 ปี นอกจากนี้ ยังมีสวนไม้กลายเป็นหินที่จำลองภูมิประเทศของภาคอีสานบริเวณลุ่มน้ำมูล-ลุ่ม แม่น้ำชี รวมถึงโซนจัดแสดงช้างดึกดำบรรพ์ 8 สกุล จาก 42 สกุลที่พบทั่วโลก ทั้งช้างสี่งา ช้างงาจอบ ช้างงาเสียม และฟอสซิลสัตว์นานาชนิด เช่น เต่ายักษ์ ตะโขง และเอป ลิงไม่มีหางที่มีสายวิวัฒนาการใกล้เคียงกับมนุษย์ที่ถูกจัดให้เป็นชนิดใหม่ ของโลก โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดให้เข้าชมทุกวันอังคาร-วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น.
โดยทางรถไฟสายนี้ถือเป็นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงเหตุการณ์สงครามในครั้งนั้น จากน้ำพักน้ำแรงของการบุกเบิกก่อสร้างของทหารเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรที่กอง ทัพญี่ปุ่นเกณฑ์มา ซึ่งทิวทัศน์ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยความสวยงามของธรรมชาติ โดยเฉพาะบริเวณถ้ำกระแซ ซึ่งเส้นทางรถไฟจะลัดเลาะไปตามเชิงผาเลียบไปกับลำน้ำแควน้อยและสิ้นสุดปลาย ทางที่บ้านท่าเสาหรือสถานีน้ำตก ระยะทางจากสถานีกาญจนบุรีถึงสถานีน้ำตก 77 กิโลเมตร สำหรับผู้ที่สนใจเที่ยวชมบรรยากาศทางรถไฟสายมรณะแห่งนี้ ทางรถไฟแห่งประเทศไทยเปิดบริการเดินรถบนเส้นดังกล่าววัน และมีการจัดรถไฟขบวนพิเศษสายกรุงเทพมหานคร-น้ำตก ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการอีกด้วย
ส่วนการเดินทางข้ามแดนเข้าไปเที่ยวตลาดในประเทศกัมพูชาจะต้องใช้พาสปอร์ต ด้วย โดยสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้ ตั้งแต่เวลา 07.00-20.00 น. โดยตลาดจะคึกคักมากในช่วงเช้า ก่อนคนเริ่มซาในช่วงเย็น ตลาดชายแดนไทย-กัมพูชา ช่องผักกาด จะอยู่ห่างจากกรุงไพลิน 20 กิโลเมตร และห่างจากเมืองพระตะบอง 68 กิโลเมตร การเดินทางใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 317 ไปทางจังหวัดสระแก้ว แล้วเลี้ยวขวาบริเวณสี่แยกทับไทร (หน้าโรงพยาบาลโป่งน้ำร้อน) เข้าเส้นทางหมายเลข 3193 ไปประมาณ 13 กิโลเมตร
ครอบคลุม พื้นที่อำเภอมะขาม และอำเภอเขาคิชฌกูฏ อุทยานแห่งนี้เป็นต้นน้ำสำคัญของแม่น้ำจันทบุรี สภาพป่าในบริเวณนี้มีทั้งป่าดิบชื้น ป่าดิบเขา และป่าไม้ผลัดใบ มีสมุนไพรและกล้วยไม้ป่านานาชนิด รวมทั้งมีพันธุ์ไม้หายากคือ ไม้กฤษณา มีสัตว์ป่าชุกชุม เช่น กระทิง เสือ หมี กวาง เก้ง เลียงผา และนกชนิดต่างๆ ตามลำห้วยมีปลาพลวง ปลาก้าง ปลาหนวด ปลาดุกรำพัน อาศัยอยู่
สถานที่น่าสนใจในบริเวณอุทยาน ฯได้แก่
– น้ำตกกระทิง มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาคิชฌกูฏ เป็นน้ำตกขนาดใหญ่มี 13 ชั้น ใช้เวลาเดินไป-กลับ 3 ชั่วโมง เล่นน้ำได้ แต่ละชั้นห่างกันราว 20 เมตร ชั้นที่ 8-9 เป็นชั้นที่สวยงามที่สุด ระหว่างทางจะผ่านป่าไผ่และพันธุ์ไม้หลากชนิด งามยิ่ง นอกจากนี้ยังมีชายหาดขนาดใหญ่ริมธารน้ำตกที่เกิดจากทรายที่ถูกน้ำป่าพัดลงมา เมื่อ ปี พ.ศ. 2542 ลำธารชั้นล่างของน้ำตกอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 100 เมตร
– ยอดเขาพระบาท ประดิษฐานอยู่บนยอดเขาคิชฌกูฎ การเดินทางเริ่มต้นที่วัดพลวงไปตามถนนลูกรังที่ลาดชันและคดเคี้ยวมาก ระยะทาง 8 กิโลเมตร จากนั้นต้องเดินขึ้นเขาไปอีกประมาณ 1.2 กิโลเมตร ระหว่างทางจะมีจุดแวะพักให้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทิวทัศน์บนยอดเขาคิชฌกูฏหรือเขาพระบาทนี้เป็นปรากฎการณ์ทางธรณีวิทยาที่นำมา ผูกกับตำนานทางพระพุทธศาสนา ได้แก่ ศิลาเจดีย์ รอยพระพุทธบาทหลวง หินรูปบาตรคว่ำ ถ้ำฤาษี หินที่มีรูปร่างคล้ายเต่าและช้างขนาดยักษ์ และหากต้องการจะเดินต่อไปจนถึงเขตผ้าแดง ซึ่งเป็นเขตสิ้นสุดที่สามารถเดินไปได้จะต้องเดินขึ้นเขาต่อ
จากลานพระบาท ไปอีก 800 เมตร บนยอดเขาพระบาทซึ่งมีอากาศเย็นสบายนั้น สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเทือกเขาสระบาป เขาสุกิม เกาะนมสาว และตัวเมืองจันทบุรีได้อย่างชัดเจน เฉพาะในช่วงเทศกาลตรุษจีนถึงช่วงวันมาฆบูชาของทุกปีจะมีประชาชนขึ้นไป นมัสการรอยพระพุทธบาททั้งกลางวันและกลางคืนเป็นจำนวนมาก (สำหรับผู้สูงอายุมีไม้เท้าให้เช่า ราคาอันละ 5 บาท และบริการแคร่แบกหามในราคาเที่ยวละ 400 บาท) การเดินทาง จากตัวอำเภอเมืองจันทบุรีผ่านแยกเขาไร่ยา ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 3249 ระยะทางประมาณ 18 กิโลเมตร โดยใช้ทางขึ้นเขาพระบาทพลวง (ทางขึ้นคนละจุดกับอุทยานฯ) เมื่อถึงวัดพระบาทพลวงต้องจอดรถส่วนตัวทิ้งไว้ (มีลานจอดรถไว้บริการ) จากนั้นมีรถสองแถวบริการขึ้นเขาพระบาทออกจากวัดพลวงไปสิ้นสุดที่บริเวณทาง ขึ้นยอดเขาพระบาท โดยรถที่ขึ้นยอดเขาแบ่งเป็น 2 ช่วง ค่าโดยสารช่วงละ 50 บาท/คน (รวมไป-กลับ 200 บาท) มีรถบริการตลอดเวลา ใช้เวลาประมาณ 30 นาที จะถึงจุดเริ่มต้นการเดินเท้าขึ้นไปรอยพระบาท สอบถามรายละเอียดได้ที่ อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฎ โทร. 0 3945 2074
– น้ำตกคลองช้างเซ อยู่ระหว่างทางขึ้นเขาพระบาท ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 10 กิโลเมตร เป็นเส้นทางที่เหมาะแก่การเดินป่าศึกษาธรรมชาติ โดยเริ่มจากหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ เดินเป็นวงกลมแล้ววนกลับมาที่เดิม ระหว่างทางจะมีคำบรรยายเขียนไว้ ใช้เวลาในการเดินประมาณ 3 ชั่วโมง ระยะทาง 4 กิโลเมตร
– น้ำตกคลองไพบูลย์,น้ำตกคลองกระสือ เป็นธารน้ำตกขนาดใหญ่เหมาะแก่การลงเล่นน้ำ บรรยากาศร่มรื่น อยู่บริเวณหน่วยพิทักษ์ที่ คก. 2 (คลองไพบูลย์) ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 8 กิโลเมตร มีลานกางเต็นท์
ค่าเข้าอุทยานฯ ชาวไทย ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท
สถานโบราณคดี มนุษย์โบราณ
เปิดทำการ:ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30 – 16.30 น.
สำหรับพระรามราชนิเวศน์สร้างขึ้นตามแบบสถาปัตยกรรมยุโรป ออกแบบโดย มิสเตอร์คาล เดอริง ชาวเยอรมัน เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2452 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2459 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า พระที่นั่งศรเพ็ชรปราสาท และทรงเปลี่ยนเป็นพระรามราชนิเวศน์เมื่อปี พ.ศ. 2461 ใช้เป็นที่รับรองแขกเมือง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ใช้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนผู้กำกับลูกเสือ โรงเรียนฝึกหัดครูเกษตรกรรม และโรงเรียนประชาบาลประจำตำบล ซึ่งปัจจุบันพระรามราชนิเวศน์ได้เปิดประชาชนทั่วไปเข้าชมความงดงามได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 FREE น.
สำหรับเทพเจ้า ไฉ่ซิ้งเอี้ย ถือเป็นเทพเจ้าที่ให้คุณด้านโชคลาภ ทรัพย์สมบัติและการค้าขาย โดยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2547 ในการจัดงานตรุษจีนฉลอง 222 ปี ที่เยาวราช ได้มีการอัญเชิญรูปหล่อเทพเจ้าแห่งโชคลาภไฉ่ซิ้งเอี้ยมาให้ประชาชนสักการ บูชาจนทำให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายยิ่งขึ้น และปัจจุบันพุทธสถานจีเต็กลิ้มได้แกะสลักเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ไฉ่ซิ้งเอี้ยจากหยกเขียวน้ำหนัก 1,000 กิโลกรัม หล่อด้วยโลหะขนาดฐานกว้าง 2 เมตร ซึ่งถือเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภที่แกะสลักจากหยกเขียวใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ ยังมีรูปหล่อพระโพธิสัตว์กวนอิม พระศรีอริยเมตตรัย พระอวโลกิเตศวรพันกร เทพเจ้ากวนอู และเทพเจ้าตามคติความเชื่อของชาวจีนอีกด้วย
Art in Paradise เป็นพิพิธภัณฑ์ภาพวาด 3 มิติ ที่นำเสนองานศิลปะในรูปแบบเหมือนจริงด้วยเทคนิคการเขียนแบบลวงตา (illusion Art) และนำเสนองานศิลปะในรูปแบบ Interactive Art ที่เชิญชวนให้ทุกคนมาร่วมกันโพสต์ท่าถ่ายรูปกับงานศิลปะ เพื่อความสนุกสนาน โดยผู้ชมจะดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของภาพที่ถูกวาดไว้ตามมุมต่าง ๆ ของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งงานนี้ไม่ว่าจะเที่ยวกันเป็นคู่หรือเที่ยวกันเป็นแก๊งก็เฮฮาได้ไม่แพ้ กันเลยทีเดียว
– See more at: http://www.tpa.or.th/writer/read_this_book_topic.php?bookID=2884&read=true&count=true#sthash.800QoLq3.dpuf
ตารางสภาพอากาศ
|